สวัสดี My traveller diary ฉันเกือบลืมเธอไปแล้ว เราเปิดบล๊อกนี้ไว้เมื่อปี 2014 อืม ก็แค่ปีกว่าๆ เอง (มันก็นานนะเออที่ไม่ได้ทำอะไรกับพื้นที่นี้เลย) ถามว่าตอนนั้นคิดยังไงถึงเปิดบล็อกนี้ขึ้นมา ซึ่งเราเองในตอนนั้นก็ยังสับสนอย่างรุนแรง ไม่ชัดเจนซักอย่างว่าจะทำอะไร แค่อยากเขียน อยากเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้คนอื่นที่น่าจะมีแนวทางเดียวกันได้รับทราบและเรียนรู้ไปด้วยกัน ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเก่าแก่ซักแค่ไหนก็ตาม จะมีประโยชน์ หรือไม่มีประโยชน์ในสายตาคนอื่น แต่มันมีคุณค่าแก่การจดจำของเรา และอยากเก็บมันไว้เป็นตัวหนังสือ เป็นภาพถ่าย หรืออะไรก็ช่างเถอะ นั่นคือสิ่งสำคัญสำหรับเรา สำหรับการให้ความหมายของ My traveller diary นั้น จริงๆ แล้วคือการเดินทางของเวลาผ่านตัวละครชีวิตในแต่ละวัน มันไม่ได้หมายความถึงการเดินทางท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว คนเราเกิดมามีชีวิตเดียว บางคนมีพื้นฐานครอบครัวที่เพียบพร้อมตั้งแต่เกิด บางคนต้องดิ้นรนกันตั้งแต่เด็กเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ทุกคนสามารถเลือกใช้ชีวิตของตัวเองได้ ไม่ว่าจะมากมี หรือจนซักเพียงไหน การเติบโตเกิดขึ้นในทุกขณะหายใจเข้าออก เติบโตผ่านร่างกาย ผ่านความคิด จนถึงจุดหนึ่งร่างกายเริ่มหยุดเติบโตและถูกแทนที่ด้วยการสึกหรอตามอายุขัย แต่ใช่ว่าจิตใจจะยอมแพ้ตามกาลเวลา หลายคนยังคงเป็นหนุ่มสาวในร่างชรา การเรียนรู้เพื่ออยู่กับชีวิตนี้มันมีสีสันมากเกินกว่าที่จะกักเก็บความทุกข์ ความหดหู่ ทุกอย่างมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ทุกข์ กับ สุข ก็อยู่กับเราไม่นานเช่นกัน คำสอนของพระพุทธองค์ช่วยให้เราสงบและมีสติได้ในทุกเหตุการณ์ของชีวิต (เกริ่นยาวเกินไปซะแล้ว) ....
วันนี้ 12 กพ. 2016 เป็นฤกษ์ดีของการปัดฝุ่นไดอะรี่เล่มนี้ซะที ^^
พรุ่งนี้ก็จะครบ 3 สัปดาห์ของการมาใช้ชีวิตหลังแต่งงานที่เวียนนากับสามี (แอบอาย ขำตัวเองนิดหน่อย ในที่สุดเราก็มีสามี เพราะคิดมาตลอดว่าเราน่าจะเหมาะกับการอยู่คนเดียว) ครั้งนี้เป็นการมาเยือนครั้งที่ 3 ของเรา รอบนี้มานานหน่อย ประมาณ 3 เดือน เพื่อจดทะเบียนและเรียนภาษาเยอรมัน เมื่อวานไปลงทะเบียนเรียนภาษาเยอรมัน ได้คอร์สเรียนแบบเร่งรัดมากเรียนจันทร์ถึงศุกร์ วันละ 3 ชั่วโมง และเรียนหกโมงเย็นถึงสามทุ่ม ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่เราไม่ชอบเลย เพราะตอนนี้ยังเป็นหน้าหนาว ค่ำเร็ว และหนาวมากตอนค่ำๆ แต่ก็เลือกไม่ได้เพราะถ้าเราไม่เรียนคอร์สนี้ก็ต้องรอเริ่มเดือนหน้าเลย ซึ่งเราไม่มีเวลาแล้ว รอบนี้อยากเรียน 2 เดือน ก็เลยต้องยอมรับชะตากรรม (ซ้อมผิวแห้งแตกมาหลายสัปดาห์แล้วจะกลัวอะไร ตอนนี้อาการเริ่มดีขึ้น) เออ เราเริ่มเรียนวันที่ 16 กพ. ไว้เริ่มเรียนแล้วจะมาเล่าให้ฟังว่าเป็นยังไง
ตอนนี้ขอย้อนกลับไปช่วงสัปดาห์ที่ 1 - 3 ของการใช้ชีวิตที่เวียนนาก่อนนะ
อยากบอกว่า การมาครั้งนี้แตกต่างจากสองครั้งแรกที่เป็นการมาเที่ยวและทำความรู้จักกับเพื่อนและครอบครัวแฟน ซึ่งรอบนั้นเรายังอ่านภาษาเยอรมันไม่ออก ฟังไม่เข้าใจเลย ทุกคนที่นี่เลยพร้อมให้ความช่วยเหลือในการนำเที่ยว เพื่อไม่ให้เรากังวลมากนักในการออกไปข้างนอก ส่วนรอบนี้นะมันเป็นชีวิตจริง ทุกคนยุ่งกับงาน ส่วนเราเรียนภาษาเยอรมันจากเมืองไทยมาบ้างแล้ว อ่านภาษาเยอรมันออก ฟังพอเข้าใจ พูดได้นะ แต่ไม่มีใครเข้าใจ (ยังพูดไม่ได้นั่นเอง กะจะโม้ซักหน่อย) อันที่จริงเราซื้อหนังสือไว้เยอะ แต่รอบนี้เอามาได้ไม่กี่เล่ม กลัวน้ำหนักเกิน ไว้รอบหน้าว่ากันไหม่ ดังนั้น เราเลยจำเป็นต้องหาซื้อหนังสือนำเที่ยวเวียนนา ซึ่งแน่นอนว่าเป็นภาษาเยอรมัน แผนที่ ทุกๆ อย่างในนั้น ล้วนเป็นภาษาเยอรมัน ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วใช่มั๊ยว่าอย่างน้อยการมาเที่ยวด้วยตัวเอง หรือการใช้ชีวิตที่นี่ ภาษาเยอรมันเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่อย่าตกใจเกินไป ผู้คนในเวียนนาใช้ภาษาอังกฤษได้ดี แต่ชีวิตคนเมืองค่อนข้างเร่งรีบ ไม่มีใครชิวพอที่จะคุยเล่นกับเรา ดังนั้น การสำรวจเมืองด้วยตัวเองจึงเริ่มต้นที่พาตัวเองออกไปเจอผู้คนและสื่อสารกับเค้าบ้าง ซึ่งที่ที่เราเลือกคือ สำรวจตลาดสดเพื่อหาวัตถุดิบในการทำอาหารให้ตัวเอง ไว้พรุงนี้จะมาเล่าให้ฟังใหม่นะ วันนี้ขอตัวไปทบทวนภาษาเยอรมันก่อน
Comments
Post a Comment