Skip to main content

(4) Das Haus Des Meeres - Aqua Terre Zoo สวนสัตว์ในเวียนนาที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และยังเป็นจุดชมเมืองเวียนนาที่น่าสนใจมิใช่น้อย

ห่างหายกันไปนานหลายเดือน มีเรื่องราวมากมายที่อยากถ่ายทอด แต่ด้วยปีนี้เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของตัวผู้เขียนทำให้ความต่อเนื่องในการนั่งเขียนบทความมีน้อยเพราะด้วยอารมณ์ที่ไม่พร้อม (ฮาฮา มันเป็นนิสัยส่วนตัวที่แก้ไม่ได้ อารมณ์มักมีผลต่อการถ่ายทอดเรื่องราว เพราะถ้าอารมณ์ไม่มี รับรองว่าเขียนไม่ได้เรื่อง สมองมันตัน) มาเริ่มกันเลยดีกว่า ระหว่างที่ห่างหายไปนี้ ผู้เขียนเดินทางกลับประเทศไทยช่วงฤดูใบไม้ผลิ และกลับมาเวียนนาอีกครั้งช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสฤดูร้อนจริงๆ ของที่นี่ 

สถานที่แรกที่จะแนะนำก็คือ Das Haus Des Meeres - Aqua Terre Zoo ซึ่งก็คือ สวนสัตว์นั่นเอง โดยแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนดีมาก ทั้งหมดมี 9 โซน ได้แก่ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ โดยจัดแสดงพันธุ์ปลาน้ำจืดเขตร้อน และพันธุ์ปลาน้ำจืดท้องถิ่น รวมทั้ง สัตว์น้ำทะเลเขตร้อน และสัตว์น้ำทะเลที่หาดูได้ยาก อย่างฉลาม กระเบนยักษ์ เป็นต้น นอกจากนี้ มีการจำลองป่าเขตร้อนโดยมีพื้นที่ให้สัตว์ปีกได้บินเล่น มีต้นไม้ให้เกาะและทำรัง มีผาหินให้ลิงนอนและเดินเล่น มีบึงน้ำให้สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำได้อาศัย ที่นี่เค้าใส่ใจดูแลสัตว์เป็นอย่างดี แม้แต่มดแดงบ้านเรา เค้ายังทำท่อทางเดินใสๆ ให้เดินเล่นจากที่อยู่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เดินขนใบไม้ ดิน ไข่ กันอย่างเมามัน ทั้งหมดนี้จัดแสดงอยู่ในตึก 10 ชั้น (ไม่ได้เอาภาพภายในสวนสัตว์มาอวดเพราะกล้องแบ็ตหมดซะก่อน ส่วนมือถือนั้นขอเก็บไว้ถ่ายภาพความเป็นมาของที่นี่และวิวของเวียนนา ดูภาพและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.haus-des-meeres.at/de/Start.html )


ความประทับใจกับสถานที่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ที่สวนสัตว์เพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่ทำให้เราประทับใจมากๆ คือ ความเป็นมาของตึกแห่งนี้และความคิดสร้างสรรค์ในการประยุกต์ใช้พื้นที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เริ่มส่งสัยแล้วใช่มั๊ยว่ามันมีความเป็นมายังไง 


ระหว่างปี ค.ศ.1940 - 1945 (อยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2) หอคอยแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ ต.ค. 1943 - มิ.ย. 1944 มีชื่อว่า Esterh'azypark Flak tower or Control tower โดยการเกณฑ์แรงงานเชลยสงคราม หอคอยที่สร้างขึ้นมีจำนวน 16 หอคอย กระจายใน 3 เมืองคือ เมืองฮัมบวก เมืองเบอร์ลิน และเมืองเวียนนา

หอคอย ณ เมืองเวียนนา มีทั้งสิ้น 6 คอย แบ่งเป็น หอคอยควบคุมสั่งการ 3 หอคอย และหอคอยจู่โจม 3 หอคอย (Sitftskaserne tower or Combat tower) โดยมีตำแหน่งที่ตั้งแบบสามเหลี่ยมครอบคลุมพื้นที่เมืองเวียนนา หน้าที่ของหอคอยนี้ก็เพื่อป้องกันการจู่โจมทางอากาศจากเครื่องบินรบฝ่ายพันธมิตรเพื่อปกป้องพลเมืองของตนเอง นอกจากนี้ ยังเป็นที่หลบภัยแก่พลเมืองยามถูกโจมตีทางอากาศได้ถึง 40,000 คน ดังนั้น การสร้างหอคอยในแต่ละจุด จะสร้างคู่กันเสมอระหว่างหอคอยสั่งการและหอคอยจู่โจม โดยมีระยะห่างประมาณ 1 ก.ม.
 หอคอยแห่งนี้มีความสูง 155.1 ฟุต ยาว 101.7 ฟุต และกว้าง 49.2 ฟุต กำแพงมีความหนา 8.2 ฟุต ในส่วนของเพดานชั้น 9 นั้น หนาถึง 11.4 ฟุต เลยทีเดียว และที่สำคัญ ห้องใต้ดินมีความสูงถึง 6.5 ฟุต รวม 11 ชั้น

ชั้น 1 - 3 ถูกใช้เป็นที่หลบภัยจากการถูกโจมตีทางอากาศ ได้สูงสุด 3,000 คน ต่อ ครั้ง ภายในอาคารมีเจ้าหน้าที่ 240 คน เป็นผู้หญิง 40 คน

ภายในมีบรรไดหลักสำหรับเดินภายในหอคอยและมีลิฟโดยสารจนถึงชั้น 9 และระเบียงซึ่งเป็นบริเวณที่ตั้งเครื่องส่งเรดาเพื่อสอดส่องเครื่องบินโจมตี โดยสามารถตรวจจับเป้าหมายได้ในระยะไกลกว่า 43 ไมล์

























ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง มีการวางแผนเพื่อพัฒนาหอคอยแห่งนี้ บ้างก็ต้องการให้เป็นสัญญลักษณ์ชัยชนะของฟาสซิส (Fascist) บ้างก็อยากให้เป็นที่พักนักศึกษา หรือโรงแรม จนกระทั่งปี 1957 Haus des Meers ซึ่งเป็นองกร์ไม่แสวงหาผลกำไรเสนอให้ปรับปรุงหอคอยแห่งนี้เป็นสวนสัตว์ เพื่อให้เป็นสัญญลักษณ์ของหอคอยแห่งความสันติสุข

นี่แหละคือความประทับใจที่อยากจะเล่าต่อ แต่ข้อมูลที่มีส่วนมากเป็นภาษาเยอรมัน ไม่ค่อยมีภาษาอังกฤษ ก็พอเข้าใจได้ว่าประเทศออสเตรียซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่แพ้สงคราม ต้องพบเจอกับสิ่งที่เลวร้ายจากสงครามขนาดไหน จะเห็นได้ว่าในข้อมูลภาษาอังกฤษ เค้าไม่ได้เจาะจงว่าเชลยเป็นประเทศอะไร และชื่อหอคอยก็ไม่ได้เป็นภาษาเยอรมัน บางครั้งประวัติศาสตร์ก็เจ็บปวดจนเกินจะบอกกล่าวมันออกมา ลองคิดตามเล่นๆ เครื่องบินลำเลียงระเบิดจำนวนนับไม่ท้วน ถูกทิ้งลงบนอาคารบ้านเรือน ความเสียหายมันมากมายเพียงใด (ปัจจุบันความรุนแรงก็ยังคงมีให้เห็นในหลายประเทศทั่วโลก คนเรามันช่างโหดร้ายเหลือเกิน)

จากเรื่องเศร้าๆ มาดูวิวสวยๆ ของเวียนนาเมืองแห่งศิลปินกันบ้าง ซึ่งกว่าจะรื้อฟื้นกันได้ขนาดนี้ ก็คงลำบากกันไม่ใช่น้อย (รักกันไว้เถิดนะ อย่าทำลายกันเลย ยังแอบเศร้า เฮ้อ)













ปล. บนดาดฟ้ามีร้านอาหารให้นั่งดื่ม กิน ชมวิว สบายๆ ส่วนด้านล่างมีสนามเด็กเล่น และด้านข้างของตึกมีผาจำลองให้ออกกำลังกายกัน ใครชอบแบบไหน หรือแวะเวียนมาเวียนนาก็มาเที่ยวกันได้นะ ส่วนตัวคิดว่าฤดูร้อนเหมาะแก่การมาเที่ยวที่นี่


"ทุกชีวิตย่อมรักชีวิตของตนเอง" 

สวัสดีและพบกันใหม่
Mrs.ENVI1980

Comments

Popular posts from this blog

(3) Talad Thai ตลาดไทยในเวียนนา

ในที่สุดก็มีเวลามานั่งเขียนอีกครั้ง หลังจากช็อคกับคอร์สเรียนภาษาเยอรมันหลักสูตรเร่งรัดของที่นี่ (ครูสอนเป็นภาษาเยอรมัน หนังสือเรียนเป็นภาษาเยอรมัน แต่ถ้าสื่อสารกันไม่ได้แล้วครูจะอนุญาตให้พูดภาษาอังกฤษได้) วันนี้เป็นวันสุดท้ายของคอร์สแรก และเริ่มเรียนคอร์สต่อไปวันจันทร์ คราวนี้ดีหน่อยเราจองเวลาเรียนใหม่เป็นช่วงบ่ายสามถึงหกโมงเย็น ไม่ต้องเรียนรอบค่ำแล้ว เย้! แต่สิ่งที่เศร้าคือ เพื่อนที่เรียนด้วยกันมาต้องแยกย้ายกันไปทำภารกิจของตัวเองก่อน แล้วค่อยกลับมาเรียนใหม่ ส่วนเรามีเวลาไม่มากนักเลยเริ่มเรียนก่อนคนอื่น แต่ยังไงซะเราก็ยังติดต่อกันอยู่ และแน่นอนว่าเราจะได้เจอกันอีก อยากรู้มั๊ยว่าทำไมพวกเราถึงมาเรียนภาษาเยอรมันที่นี่! หลายคนคงรู้คำตอบบ้างแล้ว มันเป็นละครชีวิต และมีหลากหลายเรื่องราว เมื่อคืนเราได้คำตอบที่ชัดเจนหลังจากได้โอกาสออกไปดื่มหลังเลิกเรียนกับเพื่อนๆ ในชั้นเรียน (น่าเสียดายที่เพื่อนบางคนถอนใจเลิกเริียนกลางคัน ทำให้วันนี้ขาดสมาชิกไป 2 คน เหลือแค่ 7 คน; จีน 1ญ, ไทย 1ญ, ออสเตรเลีย 1ช, อิตาลี 1ญ 2ช, และแอลเบเนีย 1ช) ให้กับตัวเองในคำถามนั้น "พวกเรามาที่นี่เพื่อหาโอกาสในการทำงาน...

(2) Fresh markets in Vienna! สำรวจตลาดสดในเวียนนา!

ครั้งนี้ เราจะพาเที่ยวตลาดสดในเวียนนา แต่ขอออกตัวก่อนนะว่า ยังไปไม่กี่ที่เลย เนื่องจากช่วงนี้เป็นหน้าหนาว ตลาดสดจึงไม่ค่อยครึกครื้นเท่าไหร่นัก จุดเด่นของตลาดสดที่นี่ (ความเห็นจากคนใกล้ตัว) คือ ราคาถูกกว่าในซุปเปอร์มาเก็ต แต่คุณภาพไม่ต่างกัน และบางอย่างมีความสดใหม่มากกว่าด้วยซ้ำถ้าไปจับจ่ายซื้อของถูกเวลา ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ ช่วงเช้าวันเสาร์ เนื่องจากเกษตรกรจะนำสินค้ามาส่งขายในตลาดในวันดังกล่าว และแน่นอนว่าวันเสาร์เป็นวันที่ตลาดคึกคักที่สุด ความน่าสนใจของตลาดสดในเวียนนาในความเห็นของเราคือ ความหลากหลายของสินค้าตามเชื้อชาติ เนื่องจากเวียนนาเป็นเมืองหลวงที่มีความหลากหลายของเชื้อชาติ อาทิ ตุรกี แอฟริกัน จีน เวียดนาม ญี่ปุ่น และไทย เป็นต้น ชาวตุรกีตั้งรกรากที่นี่มานานนับร้อยปี (ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ยุโรป ขอเวลารวบรวมข้อมูลก่อนนะแล้วค่อยเอามาเล่าให้ฟัง) ส่วนชาวแอฟริกันเข้ามาทำงานและตั้งรกรากในยุกต์บุกเบิกด้านอุตสาหกรรมในยุโรปซึ่งช่วงนั้นออสเตรียมีแรงงานน้อยจึงต้องการแรงงานต่างชาติจำนวนมาก ในส่วนของชาวจีน เวียนดนาม ญี่ปุ่น และไทย นั้น เราเดาจากจำนวนร้านอาหารเอเชียที่มีอยู่ท...

(10) สินค้าอะไรที่หาซื้อง่ายและมีตู้อัตโนมัติบริการเกือบทุกซอกซอยในเวียนนา เฉลย "บุหรี่" นั่นเอง

หลังจากห่างหายกันไปนานแรมปี มาเริ่มต้นบทความแรกของปี 2018 ด้วยบุหรี่กันเถอะ ทำไมต้องเป็นหัวข้อนี้ ก็เพราะตั้งแต่มาที่นี่ครั้งแรก สิ่งที่เหมือนเดิมคือ รสนิยมการสูบบุรี่ของชาวออสเตรียในเวียนนาที่มากี่ครั้งก็คุ้นเคยกับสิ่งนี้ จึงอยากนำมาเล่า จะได้ไม่ตกใจกันเวลามาเที่ยวที่นี่ แต่ก็อาจจะถูกจริตกับสิงห์อมควันบ้านเราก็เป็นได้ (ปล. ผู้เขียนไม่มีเจตนาที่จะส่งเสริม หรือสนับสนุนการสูบบุหรี่แต่อย่างใด) ความประทับใจเกี่ยวกับรสนิยมการสูบบุหรี่ของหนุ่มสาวออสเตรียนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกในการเดินทางมาเวียนนา เพราะคนใกล้ตัว (สามีและเพื่อนออสเตรีย) เกือบ 99% สูบบุหรี่ เพราะฉะนั้น เมื่ออยู่ที่นี่ไปซักพัก สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นสิ่งที่คุ้นตาและพบได้ทั่วไป แม้กระทั่งในร้านอาหาร ทั้งนี้ การสูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ หรือดื่มไวน์ เบียร์ ล้วนเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวยุโรป ที่ตกทอดกันมาจนถึงปัจจุบันและแผ่ขยายไปในหลายประเทศ ดังนั้น ใครที่ไม่ชอบกลิ่นบุรี่ก็ต้องสำรวจพื้นที่กันก่อนว่า ร้านอาหาร หรือคาเฟ่ นั้นๆ มีจัดพื้นที่ห้ามสูบบุหรี่หรือไม่ ขอเน้นไปที่ร้านท้องถิ่นนะ เพราะถ้าเป็นร้านที่ให้บริการนักท่องเที่ยว ส่...