(8) เมื่อเราหนีไปแต่งงานที่เกาะแห่งหนึ่งในประเทศเดนมาร์ก (When we escaped to a small island for married in Denmark.)
อยากโปรยหัวเรื่องให้ดูตื่นเต้น แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้หนีไปแต่งงาน แต่เป็นการแต่งงานครั้งที่สองของเราทั้งคู่ (แต่งกับคนเดิมนะ อย่าคิดเยอะ) เลยอยากไปกันสองคน ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีแขกเหรื่อ มันเหมือนไปเที่ยว และผจญภัยในสถานที่แปลกใหม่ตามสไตล์ของคู่เรา นั่นคือ เตรียมพร้อมเสมอสำหรับการหลงทาง เดินทางโดยใช้รถสาธารณะและสองเท้า แบกเป้และสัมภาระเหมือนบ้าหอบฟาง แต่ขอกินอิ่ม อร่อย และนอนสบาย โดยงานนี้สามีเราเป็นคนวางแผนการเดินทาง ส่วนเราก็เป็นผู้ติดตามที่ดี ดื่มด่ำบรรยากาศข้างทาง ถ่ายรูปทุกสิ่งอย่างที่คิดว่าเราควรเก็บบันทึกมันไว้เป็นความทรงจำของเราสองคน ไม่ว่าจะใช้มือถือ หรือกล้องถ่ายรูป เราไม่พลาดโอกาสนั้นแม้แต่น้อย ส่วนสามีก็เป็นผู้นำได้อย่างดีเยี่ยมเพราะหลงทางน้อยมากๆ ซึ่งเรื่องหลงทางนั้นเป็นเรื่องปกติของคู่เราและเราเข้าใจกันดี
ทริปนี้เราวางแผนกันไว้ว่าจะใช้เวลาทั้งหมด 5 วันบนเกาะ และ 2 วันในการเดินทางไปและกลับ โดยเป้าหมายที่เราจะเดินทางไปนั้นคือ เกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งในทะเลบาลติก (Baltic Sea) ที่ชื่อ เกาะแอโรส หรือ Ærø ในภาษาเดนิส เกาะแอร์โรสเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเดนมาร์ก ขนาดของเกาะก็เล็กๆ เพียง 88 ตร.กม. เท่านั้น เดิมเกาะแอโรสเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวประมงขนาดใหญ่ จนกระทั่งประมงพาณิชย์เข้ามาแทนที่ ชุมชนประมงแห่งนี้จึงต้องปรับตัวเพื่อไม่ให้เกิดการทิ้งถิ่นฐานเพื่อเข้าไปทำงานในเมืองใหญ่ รัฐบาลจึงส่งเสริมให้เกาะแอโรสเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ที่ดำเนินการโดยลูกหลานของคนในชุมชน เพื่อให้ชุมชนยังคงรูปแบบศิลปะดั้งเดิมของอาคารบ้านเรือนและยังสามารถส่งต่อประวัติศาสตร์เก่าแก่ของชุมชนให้แก่คนรุ่นใหม่ ตลอดจนนักท่องเที่ยวได้ศึกษาเรียนรู้และดื่มด่ำกับบรรยากาศอันแสนโรแมนติกบนเกาะแห่งนี้ จึงไม่แปลกที่คู่รักจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะต่างเพศ หรือเพศเดียวกัน เลือกสถานที่แห่งนี้เพื่อแต่งงาน เกาะแอโรสจึงถูกขนานนามโดยคนท้องถิ่นว่า เกาะแต่งงาน หรือ Merried Island
สนามบินโคเปเฮเก้น เป็นสนามบินขนาดไม่ใหญ่มาก ใกล้เคียงกับสนามบินดอนเมือง เราวางแผนกันไว้ว่า ต้องตั้งสติเยอะๆ เข้าไว้เพราะเราต้องต่อรถไปในอีก 40 นาที ดังนั้นเราจึงเผื่อเวลาเพื่อมองหาสถานีรถไฟ แต่สิ่งที่พบคือ เดินออกจากสนามบินปุ๊บ ก็เจอทางเชื่อมสถานีรถไฟ ทั้งรถไฟสายเข้าเมืองและออกนอกเมือง งานนี้เลยมีเวลานั่งจิบกาแฟสบายๆ ไม่รีบร้อน ตั๋วรถไฟและรถบัสก็มีพร้อมแล้ว
![]() |
รถไฟต่อแรกจากสนามบินโคเปเฮเก้นไปยังสถานี Cobenhavn |
![]() |
รถไฟต่อที่สองจากสถานี Cobenhavn ไปยังสถานี Nyborg เพื่อต่อรถบัส |
![]() |
นั่งรถบัสจากสถานี Nyborg ไปยังท่าเรือเฟอร์รี่ |
ส่วนตัวเราชอบบรรยากาศของท่าเรือ The Bridge มาก ด้วยการอนุรักษ์อาคารเก่าแก่ให้คงสภาพเหมือนกลางศตวรรษที่ 19 หากมองข้ามในส่วนของรถยนต์ที่จอดรอเพื่อข้ามไปยังเกาะแอโรส ในอดีตท่าเรือแห่งนี้เป็นที่พักขนถ่ายสินค้าของเรือพานิชย์ขนาดใหญ่ พื้นที่โดยรอบท่าเรือเป็นเพียงพื้นที่โล่งเท่านั้น หลังจากมีการแข่งขันทางการค้าเพิ่มขึ้น ท่าเรือจึงถูกแปรสภาพให้เป็นพื้นที่รองรับเรือเดินสมุทรพลังงานไอน้ำและมีการสร้างอาคารโรงงานในพื้นที่โล่งเดิม ปัจจุบันสถานที่ดังกล่าวมีร้านอาหาร โรงแรม ท่าเรือใบขนาดเล็กสำหรับริการนักท่องเที่ยว ตลอดจนเรือใบโบราณ ที่สร้างขึ้นได้กลมกลืนกับอาคารเก่า ยิ่งเพิ่มเติมเสน่ห์ให้กับท่าเรือเก่าแก่แห่งนี้ให้ดูมีชีวิตชีวาเหมือนดังในอดีต
ป้ายแสดงประวัติความเป็นมาของท่าเรือ The Bridge |
ในที่สุดเราก็มาถึงเกาะแอโรส และเข้าพักในโฮสเทลซึ่งไม่ไกลจากท่าเรือนัก สีสันของบ้านพักแต่ละหลังทำให้การเดินทางอันแสนยาวนานตลอดทั้งวันหายไปจนหมดสิ้น ส่วนบรรยากาศบนเกาะจะเป็นอย่างไรนั้น จะเก็บมาเล่าในตอนถัดไปนะ หวังว่ารอบนี้จะไม่หายไปนาน ^^
"แล้วเจอกันใหม่นะ"
Mrs.Envi1980
บ้านเมืองเขาน่าอยู่
ReplyDeleteความเป็นอยู่ของเค้าเรียบง่ายมาก บ้านเมืองสะอาด เป็นระเบียบ แม้จะเป็นเมืองท่องเที่ยวแต่บรรยากาศเงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อน ผู้คนท้องถิ่นใช้การเดิน บั่นจักรยาน และโดยสารรถสาธารณะเป็นหลัก ทำให้บนท้องถนนมีรถน้อยมาก ในส่วนของที่พักเค้าจะเน้นเป็นโฮสเทลเกือบทั้งหมด ใครชอบความสงบจะหลงรักที่นี่เลย
Delete