คงต้องเริ่มต้นด้วยการสวัสดีปีใหม่กันก่อนเลย และต้องขออภัยที่ห่างหายไปเกือบปี วันนี้ถือเป็นโอกาสอยากเขียนเพราะหยุดงานและเดือนนี้ทั้งเดือนไม่มีเรียน เหมือนสมองได้พักผ่อน อันที่จริงเราได้พักยาวตั้งแต่ก่อนเทศกาลคริสมาสจนถึงต้นปีใหม่ แต่นั่นเป็นการพักผ่อนแบบบันเทิงเริงร่า ต้องออกไปกินดื่มพบปะสังสรรค์กับครอบครัวและเพื่อนของสามี แต่วันนี้คือ การพักอยู่กับตัวเอง เราชอบอารมณ์แบบนี้ มันสงบและปลอดโปร่งดี
เราเดินทางมาถึงเวียนนาเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2018 ด้วยวีซ่าครอบครัว (แบบมีถิ่นพำนักอาศัยในออสเตรียและอนุญาตให้ทำงานได้) การเดินทางของเราในรอบนี้ ค่อนข้างเตรียมตัวมาพร้อมกว่ารอบอื่นๆ ที่เดินทางโดยใช้วีซ่านักท่องเที่ยว และอีกไม่กี่วันข้างหน้า เราก็อยู่อาศัยในประเทศออสเตรียครบหนึ่งปีเต็ม สิ่งที่เราอยากบอกเล่าในบทความนี้ เป็นประสบการณ์ที่เราได้พบเจอ ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังวางแผนมาเรียน หรือทำงานในประเทศออสเตรียได้บ้าง
เตรียมตัวก่อนเดินทาง
- ความรู้พื้นฐาน หรือ ระดับกลาง ในภาษาเยอรมัน ปัจจุบันกฎหมายออสเตรียบังคับให้ต่างชาติที่แต่งงานกับคนออสเตรียต้องสอบผ่านภาษาเยอรมันระดับ A1 ซึ่งเป็นระดับเบื้องต้น (ภาษาเยอรมันมี 6 ระดับ A1 A2 B1 B2 C1 C2) สำหรับนักเรียนนั้น ขึ้นอยู่กับทางมหาวิทยาลัยและหลักสูตรเป็นผู้กำหนด แต่เราขอแนะนำให้เรียนระดับพื้นฐานมาจากประเทศไทยก่อนเพราะเมื่อเรารู้ภาษาเยอรมันในระดับเบื้องต้นแล้ว การใช้ชีวิตประจำวันและการเข้าสังคมจะเริ่มง่ายขึ้น ไม่แนะนำให้มาเริ่มต้นเรียนภาษาเยอรมันที่ประเทศออสเตรียเพราะมันจะสร้างความกดดันให้กับตัวเองจนเกินไป อย่างที่เคยเขียนเล่าบรรยากาศในการเรียนภาษาเยอรมันที่นี่ไปบ้างแล้วนั้น จะเห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นมีรากภาษาที่ต่างกันบางชาติเรียนภาษาเยอรมันได้เร็วเพราะรากภาษามีความใกล้เคียงกัน เมื่อไปเรียนร่วมชั้นในระดับเดียวกัน โดยครูสอนเป็นภาษาเยอรมันทั้งหมด ความกดดันจะเข้ามาแทนที่ความสนุกในการเรียน และอาจเป็นการเริ่มต้นการใช้ชีวิตที่นี่แบบหดหู่เกินไป
- ฝึกทำอาหารกินเอง ใครที่ทำอาหารไม่เป็นก็อยากให้เริ่มฝึกจากอาหารที่เราชอบกิน เพราะการใช้ชีวิตที่นี่มันแตกต่างจากการใช้ชีวิตในประเทศไทย อยากกินอะไรเมื่อไหร่ก็ออกไปซื้อกินได้ ที่นี่ร้านค้าจะปิดเร็ว ซุปเปอร์มาเก็ตปิด 2 ทุ่ม วันเสาร์ ปิด 6 โมงเย็น และปิดวันอาทิตย์ เป็นต้น ส่วนราคาอาหารในร้านอาหารก็จะแพงกว่าเราทำกินเองเกือบสิบเท่า
- ใครที่ยังมีภาระทางการเงินในประเทศไทย สิ่งที่จำเป็นคือ Internet Banking เพิ่มบัญชีที่จำเป็นตั้งแต่อยู่ที่ไทย รายการค่าใช้จ่ายรายเดือนต้องติดต่อกับบริษัท หรือ หน่วยงานนั้นๆ เพื่อตัดเงินผ่านบัญชีแบบอัตโนมัติ และอย่าลืมรักษาเบอร์โทรศัพท์ไว้ด้วยในช่วงปีแรก เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินในการทำธุรกรรมอื่นๆ จะได้แก้ปัญหาได้ทันการณ์ กรณีที่เคยเปิด PayPal เพื่อซื้อของหรือโอนเงินโดยเปิดบัญชีในประเทศไทย เมื่อไปประเทศออสเตรียจะโอนเงินจากบัญชีธนาคารในประเทศออสเตรียเข้าบัญชีธนาคารในประเทศไทยไม่ได้ ทางออกคือ อาจเปลี่ยนไปใช้บริการของ TransferWise แทนก็ได้ ซึ่งค่าธรรมเนียมจะถูกกว่าโอนระหว่างธนาคาร
- ฝึกอบรมอาชีพระยะสั้นที่สามารถสอบเอาใบประกาศจากกรมแรงงานเพื่อมาใช้ทำงานในต่างประเทศ เพราะการหางานในประเทศออสเตรียส่วนใหญ่จะต้องการผู้ที่มีความรู้ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งนั้นๆ และที่สำคัญต้องสื่อสารเป็นภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษได้ในระดับดี ถึงดีมาก ดังนั้น กว่าจะได้งานประจำที่ตั้งใจไว้ การสร้างทางเลือกให้กับตัวเองในระหว่างที่กำลังปรับตัวในระยะแรกนั้นถือว่าเป็นแต้มต่อให้กับตัวเอง มีเงินใช้จ่ายในระหว่างเรียน และได้รู้จักผู้คนใหม่ๆ
ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม
- ปัญหาที่พบในสองเดือนแรกที่มาถึงคือ อากาศหนาว สำหรับคนผิวแห้งอย่างเรายิ่งเป็นอุปสรรคเพราะผิวไม่เคยแห้งขนาดนี้มาก่อน เลยไม่รู้จักวิธีรับมือ ปัจจุบันผิวเราแห้งน้อยลงเพราะรู้วิธีรับมือมากขึ้น เช่น อาบน้ำวันละครั้ง หรือ เช็ดตัว หลังจากอาบน้ำให้ใช้น้ำมันมะพร้าวทาให้ทั่วตัวก่อนลงโลชั่นอีกรอบ ดื่มน้ำให้เยอะขึ้น และกินผักผลไม้เป็นประจำ
- เสาะแสวงหาร้านของชำเอเชียและตลาดสด เพราะสถานที่เหล่านี้จะเป็นสรรค์น้อยๆ ในการทำอาหารที่มีของที่เราชอบ มีคุณภาพ และราคาถูก แน่นอนว่าถูกกว่าซุปเปอร์มาเก็ตแน่นอน โดยเฉพาะผักและเนื้อต่างๆ ในตลาดสดราคาแทบจะใกล้เคียงกับเมืองไทยเลย (เราเคยเขียนแนะนำตลาดสดและร้านของชำในเวียนนาไว้ ลองค้นดูนะ)
เรียนรู้สังคมและวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น
- เมื่อมาอยู่ที่นี่ความเป็นไทยบางอย่างที่เราคิดว่ามันดี เช่น พูดอ้อมค้อมเพราะกลัวว่าพูดตรงไปจะไม่ดี, อะไรก็ได้ ง่ายๆ แล้วแต่เธอละกัน เป็นต้น จะขอเตือนว่า ลืมๆ หรือทิ้งคำพูดติดปากเหล่านี้ไป เพราะฝรั่งออสเตรียหรือเยอรมัน เค้าจะไม่เข้าใจ คิดและรู้สึกยังไงก็พูดมันออกไป ไม่ต้องกลัวว่าเค้าจะคิดยังไง เพราะเค้าไม่คิดนอกเหนือจากที่เราพูดไป ชอบก็บอกไปว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ หากเรามีความเห็นอะไรก็ต้องพูดให้เค้ารู้ไปเลย ถ้าคิดไม่ออกก็บอกไปแบบนั้น อย่าโยนภาระให้เค้าด้วยคำว่า ก็แล้วแต่เธอ แต่สุดท้ายก็มางอนเค้า ซึ่งฝรั่งไม่เข้าใจว่าเรางอน แต่ก็นั่นแหละ ฝรั่งที่นี่งอนเก่งมาก แต่จะงอนกับเฉพาะกับแฟนและครอบครัว เพราะความเป็นตัวเองที่สูงและเมื่อต้องยอมคนๆ นึง เค้าก็จะอึดอัด แต่สำหรับเพื่อนเค้าจะเถียงและวิจารณ์กันตรงๆ ในทุกเรื่องได้โดยที่ไม่โกรธเคืองกัน มาเจอกันใหม่ก็เริ่มใหม่แบบไม่มีอะไรติดค้าง
- เพื่อนต่างชาติหลายคนบ่นว่า หาเพื่อนเป็นคนออสเตรียได้ยากมาก เพราะเค้าไม่เปิดโอกาสให้เรียนรู้หรือพัฒนาความสัมพันธ์ เราโชคดีที่ยังไม่เจอเรื่องแบบนี้ เพราะสามีและน้องสามีเป็นคนเพื่อนเยอะและเพื่อนๆ เค้าส่วนใหญ่ก็โตมาด้วยกัน อยู่โรงเรียนเดียวกันมาก่อน เราเลยมีเพื่อนออสเตรียแบบทางอ้อม ในความคิดเห็นส่วนตัว การที่เราจะคบเพื่อนที่นี่ได้นั้นประเด็นแรกคือ เคมีที่ตรงกัน ซึ่งหมายถึงความชอบในสิ่งที่คล้ายกัน เช่น กีฬา ศิลปะ เป็นต้น และถ้าเราเป็นคนเปิดเผยก็จะยิ่งเข้าสังคมได้ง่ายขึ้น เพราะคนออสเตรียมีเอกลักษณ์ เค้ามีความเป็นตัวตนสูงและเปิดเผย และสิ่งสำคัญที่สุดที่เราชอบเพื่อนออสเตรียคือ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และถ้าชอบดื่มเบียร์ หรือ ชอบพบปะผู้คน ก็เปิดโอกาสตัวเองได้ออกไปสัมผัสสิ่งใหม่ๆ บ้าง อาจจะเหม็นควันบุหรี่หน่อย แต่มันเป็นขั้นตอนสานความสัมพันธ์ในอีกรูปแบบหนึ่งของหนุ่มสาวออสเตรีย
บริหารจัดการตัวเองให้มีความสุข
- ทำอย่างไรดีเมื่อท้อกับการเรียนภาษาเยอรมัน ซึ่งเราก็ท้อเป็นช่วงๆ เพราะเราเรียนภาษาเกือบทุกเดือนและทำงานพาร์ททามในครัวร้านอาหารไทยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ มันก็มีช่วงเหนื่อย แต่ก็ยังสนุกเพราะได้รู้จักเพื่อน เรามีเพื่อนของตัวเองจากคอร์สเรียนภาษานี่แหละ ซึ่งเป็นต่างชาติทั้งหมด ส่วนเพื่อนในครัวก็มีทั้งคนไทยและต่างชาติ สิ่งหนึ่งที่เราได้รับจากเพื่อนต่างชาติคือ กำลังใจ เพราะเราต่างอยู่ในสภาวะการณ์ที่ไม่ต่างกัน เราให้กำลังใจกัน และช่วยเหลือกัน นั่นคือสิ่งที่เราประทับใจ อยากบอกว่า เรียนภาษาเยอรมันที่ประเทศออสเตรียยากกว่าเรียนที่ประเทศเยอรมันเพราะที่นี่มีภาษาเยอรมันท้องถิ่นของตัวเอง และถ้าอาศัยในเวียนนาโอกาสที่จะใช้ภาษาเยอรมันก็จะลดลง เพราะคนส่วนใหญ่เมื่อเห็นเราเป็นคนต่างชาติ หรือพูดภาษาเยอรมันไม่คล่อง เค้าก็จะเปลี่ยนเป็นพูดภาษาอังกฤษทันที ส่วนเรากับสามีก็คุยกันเป็นภาษาอังกฤษตั้งแต่เป็นเพื่อนกัน ดังนั้นการเปลี่ยนเป็นคุยภาษาเยอรมันจึงยากตาม ทุกวันนี้ยังคุยเป็นภาษาอังกฤษเป็นหลัก อยากให้กำลังใจทุกคนที่พยายามเรียนภาษาต่างชาติอยู่ว่า มันไม่ใช่ภาษาที่เราคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก การที่เราพูดผิด มันเป็นเรื่องปกติ ก็ขำๆ กับมันไป และพยายามฝึกฝนต่อไป อย่าหยุด ฝึกทุกวันให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ให้ภูมิใจเมื่อเราเริ่มฟังออกแม้ปากยังไม่ขยับ เมื่อปากเริ่มขยับแม้พูดไม่ถูกต้องแต่คนฟังเข้าใจ มันคือความสุขเล็กๆ จริงๆ และถ้าเจอครูที่เค้าเคี่ยวเข็ญจนทำให้เราเครียด ให้บอกเค้าเลยว่า ภาษาไทยไม่มีส่วนไหนเหมือนหรือใกล้เคียงกับภาษาเยอรมันเลย เพราะฉะนั้นขอเวลาให้เราได้เรียนรู้ เราเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้จนหยุดเรียนครูเลยตามให้ไปเรียนและถามเหตุผล พออธิบายเค้าก็เข้าใจและเราก็กลับไปเรียน ครูไม่จี้ไม่กดดันเหมือนก่อนหน้านี้ อย่าลืมว่า ฝรั่งรู้จักประเทศไทยแตกต่างกัน บางคนรู้จักแค่ชื่อ บางคนรู้จักอาหาร น้อยคนที่จะรู้ถึงภาษาที่เราใช้ ดังนั้น ถ้าเจอครูแบบนี้ก็แจ้งเค้าไปเลย เรียนให้สนุกดีกว่าอดทนเรียน (สู้ๆ ค่ะ)
- การให้บริการรักษาพยาบาล จะต่างจากบ้านเรามากคือ ถ้าเจ็บป่วยไม่หนัก ต้องจองคิวล่วงหน้า ต้องอาการฉุกเฉินจริงๆ ถึงจะไปโรงพยาบาลแล้วได้ตรวจอาการ ดังนั้น ขอแนะนำให้ดูแลสุขภาพให้ดี อย่าลืมออกกำลังกาย ที่นี่สวนสาธารณะสวยๆ มีเยอะมากน่าเดินเที่ยว
- เรื่องสุดท้ายคงเป็นเรื่องการหางาน อยากบอกว่าถึงแม้จะจบเฉพาะทางมาจากประเทศของตนเองแต่ถ้าต้องการทำงานที่ประเทศออสเตรียหรือในยุโรป อาจต้องสอบหรือเรียนเพิ่มเติมเพื่อให้ผ่านตามมาตรฐานวิชาชีพของยุโรป เมื่อผ่านมารตฐานและได้ใบรับรองแล้ว จะทำงานที่ไหนก็ได้ในยุโรป และมาตรฐานเงินเดือนก็ไม่แตกต่างกัน
สิ่งที่คนไทยมักเข้าใจผิด แต่เมื่อมาอยู่แล้วถึงรู้ว่า ที่ได้ยินมานั้นมันไม่ใช่นะ
- ประเทศออสเตรีย หรือ สหพันธรัฐออสเตรีย มีระบบสวัสดิการ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า รัฐให้บริการรถฟรี รักษาพยาบาลฟรี มันเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และไม่เป็นความจริง รัฐสวัสดิการมาจากการที่ประเทศพ่ายแพ้สงครามโลกอย่างออสเตรียและประเทศอื่นๆ ในยุโรป ใช้หลักการนี้ในการฟื้นฟูประเทศ ทุกคนช่วยกัน และเพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ จึงมีการเก็บภาษีจากทุกคนที่มีรายได้เพื่อนำมาใช้พัฒนาระบบสาธารณะสำหรับทุกคน นอกจากเสียภาษีแล้วยังต้องจ่ายประกันสุขภาพ ทุกคนต้องจ่ายเป็นรายเดือน เมื่อเรียกเก็บล่วงหน้าไปแล้ว ยามเจ็บป่วยจึงไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ส่วนคนที่ยังไม่มีรายได้ เช่น แม่บ้าน และเด็ก ผู้นำครอบครัวที่มีรายได้ต้องจ่ายเงินประกันส่วนนี้ด้วยแต่จ่ายถูกลง ในกรณีคนที่ตกงานและขึ้นทะเบียนกับรัฐ ย่อมได้สิทธิรักษาพยาบาลเช่นกันเพราะเคยทำงานและจ่ายเงินประกันไว้แล้วรัฐจึงรับผิดชอบค่าใช้จ่ายนี้ ส่วนผู้ที่ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ เช่น คนพิการ ผู้สูงวัย รัฐจะใช้เงินจากระบบสวัสดิการมาดูแล ในกรณีของรถสาธารณะนั้น คนท้องถิ่นส่วนใหญ่จะใช้ตั๋วเดือน หรือ ตั๋วปี ซึ่งสามารถใช้บริการรถสาธารณะได้ทุกประเภท นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะใช้ตั๋ววัน หรือ ตั๋วเดือน ที่นี่สามารถซื้อตั๋วได้ที่สถานี หรือ คนขับรถ หรือ ตู้อัตโนมัติบนรถ สิ่งที่ทำให้เข้าใจผิดอาจเกิดจากที่นี่ไม่มีคนเดินตรวจตั๋วบนรถทุกขบวน จะเป็นการสุ่มตรวจ ถือเป็นวินัยอย่างหนึ่งของคนที่นี่ที่มีต่อส่วนรวม นานๆ ครั้งจะมีการตั้งด่านสุ่มตรวจตั๋ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นจุดที่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยว และค่าปรับก็โหดใช่ย่อยเลย
Comments
Post a Comment